วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ ๑๔ (ชีวิตที่มาใหม่กับการถูกตามล่า)

ขุนแผนเดินผ่านเข้ามาในห้องลับที่เป็นห้องนอนของขุนช้างและนางวันทอง สภาพในห้องที่ขุนแผนได้เห็น ทำให้ขุนแผนต้องถึงกับนิ่งอึ้ง ด้วยภายในห้องนั้นตกแต่งอย่างสวยงาม กลางห้องนั้นเป็นเตียงนอนกว้างใหญ่ มีร่างของหญิงชายคู่หนึ่งนอนกอดก่ายกันแนบแน่น อาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่ภาพนั้นทำให้ไฟแค้นในหัวอกของขุนแผนนั้นลุกโหม ถ้ามันสามารถออกมาเผาผลาญคนในห้องได้ คงจะเผาผลาญจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ภาพที่เห็นได้ฟาดหัวใจของขุนแผนจนแหลกละเอียดไม่เหลือหรอ ขุนแผนทรุดกายลงนั่งอย่างคนหมดแรง สองมือที่กำดาบฟ้าฟื้นนั้นสั่นระริก น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินหลั่ง มันอาจจะไม่ไหลออกมามากมายนัก เพราะส่วนที่เหลือมันกลับไหลไปท่วมอยู่ที่ห้วงหัวใจของเขา ขุนแผนบุรุษรูปงามที่เคยมาดมั่น เคยต่อสู้กับข้าศึกศัตรูมามาก แต่กลับพ่ายต่อสนามรัก ….ขุนแผนนั้นพังทลายแล้ว เวลาผ่านไปจนจวบใกล้รุ่งสาง เสียงของไก่ขันวิเวก มาตามสายลมอ่อนที่พัดเฉี่อยฉิว ได้ปลุกขุนแผนจากห้วงแห่งความเศร้าโศก ขุนแผนตระหนักดีว่า เวลามีเหลืออีกไม่มากนัก เพราะเวลาเช้า มนตราที่สะกดไว้จะเริ่มเสื่อมคลาย เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินมายังเตียงที่สองชายหญิงนอนกอดก่ายกัน พลางก้มลงดึงร่างของนางวันทองขึ้นมา โอ้อนิจจา นางวันทองที่เคยสะคราญโฉม งดงามไร้เดียงสา มาบัดนี้กลับทรุดโทรมลงไปมาก แก้มซูบตอบ ขอบตาลึกดำคล้ำ ร่วงโรยจนดูชรากว่าอายุจริง สังขารนั้นมันไม่เที่ยง มันเป็นอนิจจัง ขุนแผนก้มดูหญิงที่เคยเป็นคนรัก ที่เคยเป็นเมียรัก และที่เคยทำร้ายหัวใจของเขา ดูแล้วทำให้หัวใจของขุนแผนนั้นผ่อนคลายความแค้นลง ด้วยนางวันทองนั้นกลับมิได้อยู่อย่างขุนช้างอย่างมีความสุขแน่นอน ด้วยลักษณะของนางนั้นบอกต่อเขาได้อย่างชัดเจน ขุนแผนจึงอุ้มนางวันทองออกมาจากห้อง วางลงบนเตียงของแก้วกิริยา แล้วเดินกลับมายังห้องนอนของขุนช้างอีกครั้ง ขุนช้างยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง ตามธรรมดาคนที่ใกล้จะพบกับเคราะห์ร้าย จะต้องมีลางอะไรบางอย่างมาชี้บอกเสมอ แต่ด้วยความซวยของขุนช้างนั้นมันยิ่งกว่า เพราะกระทั่งลางบอกเหตุร้ายนี้ก็ไม่มีซักน้อยนิด ขุนแผนยืนมองขุนช้างอยู่ชั่วขณะ สมองของขุนแผนกำลังวิ่งราวกับหนูที่วิงอยู่ในวงล้อ ในที่สุดขุนแผนก็ยิ้มออกมา แล้วเดินเข้าไปหาขุนช้างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างช้าๆ ยามเช้าวันนั้น อากาศดีมาก มีหมอกบางๆ ลงอยู่ทั่วไปหมด ขุนแผนและนางวันทองกำลังนั่งอยู่บนหลังของม้าสีหมอก ควบขับผ่านอากาศเย็นสดชื่นของยามเช้า พลางสนทนากันอย่างมีความสุข ด้วยทั้งสองนั้นได้ปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย ขุนแผนนั้นในหัวใจยังมีนางวันทองอยู่เต็มหัวใจ เมื่อได้รับฟังความอธิบายของนางวันทอง ก็เชื่อโดยทันทีและพร้อมที่จะยกโทษให้แก่นาง พร้อมเสมอที่จะรับนางกลับมาเป็นภริยาของเขา เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงยังน้ำตกแห่งหนึ่งที่สวยงามสะอาด มีน้ำตกตกกระแทกโขดดินเป็นฟูฝอย นกกาหากินอยู่แถบนั้นอย่างมากมาย งามประดุจดั่งสรวงสวรรค์ ขุนแผนจึงได้หยุดพักที่น้ำตกแห่งนั้น และล้วงเอาเสบียงกรังออกมาแบ่งให้กับนางวันทองได้ทานด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงเนื้อย่างที่แห้งกรังแข็งกระด้าง ข้าวเหนียวที่เย็นชืด แต่สำหรับทั้งสองนั้น ช่างเอร็ดอร่อยเหลือเกิน ช่วงเวลาแห่งความสุขมักสั้นกระชั้นนัก ไม่นานนักทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังกระชั้นมา ในที่สุดก็เห็นกลุ่มคนที่นำโดยขุนช้าง ซึ่งตอนนี้ได้นำบ่าวไพร่จำนวนมากของบ้านเขามาเพื่อจะมาชิงตัวนางวันทองคืน ขุนช้างนำขบวนของบ่าวไพร่ ซึ่งถืออาวุธครบมือ มีทั้งดาบ ทั้งขวาน และบางคนที่หาอาวุธไม่ได้ก็มีดุ้นแสมติดมือมา ท่าทางขึงขัง เมื่อขบวนของขุนช้างมองเห็นร่างของหนุ่มสาวทั้งสองที่นั่งพร่ำพรอดกันอยู่อย่างมีความสุขข้างน้ำตก ขุนช้างก็โบกมือนำพรรคพวกตรงเข้าไปหาโดยทันที ““ไอ้แผน ไอ้สารเลว มึงกล้ามาชิงน้องวันทองไปจากกู มึงต้องตายแน่แล้ว แต่กูจะให้มึงตายดีๆ ถ้ามึงส่งน้องวันทองมาให้แก่กูโดยดี ไม่งั้นมึงต้องตายอย่างทรมานแน่ ว่าไง หา”” ขุนช้างตะคอกใส่ขุนแผนที่นั่งยิ้มทำทองไม่รู้ร้อน ““น้องวันทองจ๊ะ แถวนี้ชักไม่ค่อยจะดีแล้วนะ พี่แผนหนวกหูเสียงหมาเห่าน่ะ เราไม่หาที่ใหม่กินข้าวเช้ากันดีกว่านะ พี่แผนได้กลิ่นเหม็น สงสัยมีใครบางคนคงไปกินชี้มาแน่เลยนะจ๊ะ”” ขุนแผนกล่าวพลางชักชวนให้นางวันทองลุกขึ้นเพื่อขึ้นมาสีหมอกไปจากที่นี่ ขุนช้างได้ฟังดังนั้น ก็หันไปบอกกับลูกน้อง ““เฮ้ย ปากกูเหม็นจริงหรือเปล่าวะ”?” ลูกน้องได้ฟังก็ส่ายหน้า บางคนก็อมยิ้ม แต่มีอยู่คนหนึ่งทะลึ่งกว่าเพื่อน เสือกเอามืออุดจมูก แล้วโบกมือไปมา ขุนช้างเห็นดังนั้น จึงยกเท้าถีบไอ้คนทะลึ่งถลาลงน้ำตกไป ขุนช้างเห็นขุนแผนอุ้มนางวันทองขึ้นหลังมาสีหมอกไป ก็โกรธอย่างที่สุด ถลาเข้ามาฟันใส่ขุนแผน นางวันทองที่เห็นขุนช้างถลาเข้ามาฟันขุนแผนด้านหลัง ก็ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ พลางยกมือเพื่อผลักขุนแผนให้หลบไปจากดาบของขุนช้าง ขุนแผนได้รับคำเตือนจากกุมารทองก็ระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อขุนช้างถลามาถึง ก็เบิกตากว้าง แล้วตะโกนดังลั่น ““เฮ้ย”” ขุนช้างนั้นหยุดชะงัก นิ่ง ขุนแผนเมื่อสะกดขุนช้างแล้ว ก็เดินช้าๆ เข้ามาหา พลางใช้ดาบของขุนช้าง กรีดตัดเสื้อผ้าของขุนช้างออก เผยให้เห็นร่างที่มีขนรุงรังของขุนช้าง และที่แปลกมากก็คือ บนหน้าอกของขุนช้างนั้น มีรอยสักสีแดงอยู่ เป็นคำว่า ““ไอ้หน้าตัวเมีย”” สำหรับท่อนล่างที่ท้องน้อยนั้น ก็มีรอยสักมีเขียวเป็นคำว่า ““แย่งเมียเพื่อน”” สักอยู่ชัดเจน ซึ่งรอยสักนั้นเป็นที่รู้กันว่า ถ้าไม่ลอกหนังออกมันจะไม่จางหายไป ขุนแผนนั้นได้จัดการสักคำทั้งหมดนี้บนตัวของขุนช้าง ก่อนที่เขาจะออกจากเรือนของขุนช้างมา เพื่อเป็นการแก้แค้นขุนช้างที่ได้ทำกับเขาและนางวันทองไว้ เมื่อขุนแผนได้ขึ้นม้าไปกับนางวันทองแล้ว บรรดาลูกน้องของขุนช้างก็ไม่รู้จะทำยังไงกับขุนช้างดี ด้วยขุนช้างนั้นนิ่งขึงไม่ขยับไปไหน ก็มีบ่าวคนหนึ่งเสนอความเห็นว่าให้แบกขุนช้างขึ้นขี่คอบ่าวคนหนึ่งไปจะดีกว่า ส่วนอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยบอกว่าตัวของขุนช้างนั้นหนักน้องๆ ช้าง ถ้าให้ขี่คอบ่าวคนไหนต้องมีอันคอหักตายเป็นแน่ บ่าวทั้งหมดถกเถียงกันอยู่เป็นนานจนเวลาผ่านไปจนสายแล้ว ก็ได้ข้อตกลงกันว่า จะให้บ่าวสองคนประคอง โดยเอาแขนของขุนช้างคล้องคอบ่าวข้างละคน แล้วค่อยๆ เดินจนกลับไปที่เรือนของขุนช้าง เมื่อได้ข้อตกลงดังนั้นแล้ว บ่าวสองคนก็ก้มลงดึงแขนของขุนช้างคล้องคอของตนคนละข้าง แล้วออกแรงประคองร่างของขุนช้างออกเดินไปกับพวกตนเข้าไปในเมือง ที่เมืองสุพรรณบุรี ยามนี้เป็นช่วงที่ชาวบ้านต่างก็กำลังออกมาเพื่อไปทำธุระหรือทำงาน เมื่อเห็นขบวนแห่ของบ่าวไพร่ที่แบกร่างของขุนช้างเดินตัดผ่านมากลางเมือง ก็สงสัยพากันเรียกพี่น้อง พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ออกกันมาทั้งโคตร เพื่อมาดูว่าขบวนของขุนช้างนั้น มาทำอะไรกัน แต่เมื่อมาถึงยังขบวน เห็นขุนช้างนั้นแก้ผ้าล่อนจ้อน ก็หัวเราะกันครืนไปทั้งบาง และเมื่อมีผู้รู้หนังสือได้อ่านรอยสักบนตัวของขุนช้าง ทั้งบนและล่างดังๆ ออกมาจนได้ยินกันทั่ว คราวนี้เสียงฮา ดังครืนไปทั่วทั้งบาง กว่าที่ขุนช้างจะถูกบ่าวแบกถึงเรือน เรื่องตลกนี้ก็เล่ารือกันไปจนถึงกรุงศรีอยุธยานั่นเลยทีเดียว ขุนแผนนั้นเมื่อจัดการกับขุนช้างแล้ว ก็เดินมาขึ้นมาสีหมอกพลางควบขับออกไปกับนางวันทอง ทั้งสองนั้นเดินทางไปพร่ำพรอดกัน จนมาถึงยังชายป่าแห่งหนึ่ง ขุนแผนก็ใช้มีดตัดเถาวัลย์ มาสานเป็นเปลและนำมาแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ สูงจากพื้นดินมากมายนัก เพื่อป้องกันสัตว์ป่ามาทำร้ายในตอนกลางคืน สำหรับม้าสีหมอกนั้น ขุนแผนก่อกองไฟไว้ให้ และสั่งให้โหงพรายนั้นเฝ้าดูแล ส่วนตัวของเขาและนางวันทองนั้น โหงพรายก็ได้ยกร่างทั้งสองขึ้นมาวางให้บนเปลอย่างนิ่มนวล ขุนแผนนั้นนอนกอดร่างของนางวันทองจนหลับไป อากาศในช่วงกลางดึกหน้าหนาวนั้นช่างหนาวเย็นยิ่งนัก และยิ่งอยู่ในป่านั้นก็ยิ่งหนาวเย็นมากขึ้น ดังนั้นขุนแผนจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหนาว และมองไปเห็นร่างของนางวันทองก็หนาวเย็นเช่นกัน เขาจึงลุกขึ้นจากเปล แล้วประคองร่างของนางวันทองขึ้นมานั่งบนตักของเขาบนต้นไม้ ทั้งสองตระกองกอดกันแบ่งปันไออุ่นซึ่งกันและกัน สองมือของขุนแผนนั้นลูบไล้ไปตามเรือนร่างอวบอัดสมบูรณ์ของนางวันทอง สองมือของนางวันทองนั้นก็กอดร่างของขุนแผนไว้แน่น ขุนแผนนั้นเมื่อได้กลิ่นสาบของนางวันทอง ซึ่งเป็นกลิ่นที่ตนเองนั้นได้เฝ้าฝันถึง ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น ก็สุดจะทนทานได้ ก้มหน้าลงประทับจูบยังริมฝีปากอวบอิ่มของนางวันทอง พลางยื่นลิ้นไปกระหวัดพันกับลิ้นของนางวันทอง นางวันทองเมื่อเจอกับลีลาของขุนแผนก็ถึงกับเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้ขุนแผนนั้นปลดผ้าแถบรัดหน้าอก ปล่อยหน้าอกที่อวบใหญ่หลุดออกมากระเพื่อมอยู่ตรงหน้า ขุนแผนก้มลงดูดดุนปลายถันสีน้ำตาลอ่อนหายเข้าไปในปากพลางดูดดุนด้วยปากและลิ้น มืออีกข้างก็เคล้นคลึงเต้าอีกข้าง ปลายนิ้วก็บีบบี้ปลายถันจนมันแข็งขี้ชัน เมื่อขุนแผนดูดดื่มเต้าถันจนอิ่มเอมใจแล้ว ก็จับร่างของนางวันทองยืนขึ้น พลางถลกผ้านุ่งของนางวันทองขึ้น เผยให้เห็นสะโพกผายกว้าง ท้องทุ่งรกเรื้อไปด้วยหญ้าจนมองไม่เห็นปากทางเข้า ขุนแผนก็ปลดกางเกงของตนปล่อยให้ควยอาคมนั่นแข็งเด่ ชูหัวแดงร่า บอกอารมณ์ของเจ้าของอย่างชัดเจน จากนั้นก็ค่อยๆจับร่างของนางวันทองนั่งลง ให้ปากทางของนางวันทองนั้นอมหัวของควยอาคมเข้าไปที่ละน้อย ขุนแผนนั้นแสนจะแปลกใจที่หีของนางวันทองนั้นหาได้ฟิตไม่ เขามีความรู้สึกดุจดั่งควยอาคมของเขานั้น แหย่เข้าไปในปล่องอะไรซักอย่างที่หลวมกว้าง สำหรับนางวันทองนั้นเมื่อควยอาคมของขุนแผนนั้นแหย่เข้าไปในร่องหีของนางนั้น นางกลับไม่แสดงอาการเสียวแต่อย่างใด ขุนแผนนั้นทอดถอนใจ ในที่สุดสิ่งที่เขากลัวนั้นมันก็มาถึง หีของนางวันทองนั้นกลวงบานออกตามขนาดควยพิสดารของขุนช้างไปเสียแล้ว มันคงไม่อาจกระชับได้ดั่งเดิม ขุนแผนจึงดึงร่างของนางวันทองขึ้นยืน ตนเองนั้นพนมมือบริกรรมคาถาที่อาจารย์ได้เคยสอนไว้เมื่อยามที่ทำควยอาคมให้แก่เขา เมื่อบริกรรมผ่านไปหนึ่งคาบ ควยอาคมของขุนแผนนั้นขยายขนาดขึ้นมาก เมื่อขุนแผนนั้นบริกรรมครบสิบคาบ ควยอาคมของขุนแผนนั้น ยาวไม่น้อยกว่า 9 นิ้ว ใหญ่กว่าข้อมือของนางวันทองมากนัก นางวันทองเมื่อเห็นควยอาคมของขุนแผนนั้นขยายขนาดได้ก็แปลกใจระคนดีใจ ค่อยหย่อนสะโพกลงมาจนปากร่องหีนั้นครอบหัวควยอาคมของขุนแผน แล้วค่อยๆ กดลงไป โอว มันช่างใหญ่คับแน่น บีบรัด ทั้งสองนั้น สูดปากด้วยความเสียวซ่าน แต่ถึงแม้ควยอาคมจะใหญ่โตสักเพียงไร แต่ด้วยความฤทธาของมัน ทำให้นางวันทองนั้นไม่ใคร่เจ็บปวดแม้ขณะที่ควยอาคมแหวกร่องหีของนางเข้าไป คงเหลือแต่ความเสียวซ่าน น้ำเงี่ยนของนางวันทองไหลอาบควยอาคมของขุนแผนเป็นมันปลาบ ขณะชักขึ้นลงได้ยินเสียงดัง เจ๊าะแจ๊ะ ป้าบ ป้าบ ดังสะท้านป่า นานกว่า ๓ ชั่วโมง จึงได้หยุดไป สร้างความแปลกใจแก่สัตว์ป่าบริเวณนั้นเป็นยิ่งนัก เวลาผ่านไปกว่า ๒ วัน ขุนช้างจึงได้รู้สึกตัว เมื่อรู้สึกตัวขุนช้างก็แหกปากร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่นานกว่าครึ่งวัน ทำให้บ่าวไพร่ต้องหนวกหูกับเสียงควายร้องออกลูกของขุนช้างเป็นยิ่งนัก แต่ไม่อยากโดยถีบก็จำต้องก้มหน้าทนต่อไป ขุนช้างร้องไห้เสียใจจนรู้สึกว่าตนเองจะต้องทำอะไรเป็นการแก้แค้นไอ้ขุนแผนที่ทำกับเขา ขุนช้างจึงลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเรียกบ่าวไพร่เตรียมม้า เพื่อจะออกควบขับไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาที่กรุงศรีอยุธยา ขุนแผนนั้นมีความสุขยิ่งนัก การเดินทางของเขาในครั้งนี้ มันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดเวลาแห่งความสุขก็หมดไป วันหนึ่งนางวันทองก็เริ่มมีอาการอาเจียนในช่วงเช้าๆ สร้างความเป็นห่วงเป็นใยให้แก่ขุนแผนยิ่งนัก เขาจึงต้องพานางวันทองเข้าเขตเมืองพิจิตร เพื่อหาหมอมาดูอาการของนางวันทอง เมื่อหมอได้ตรวจอาการของนางวันทองแล้ว ก็บอกยิ้มๆ กับขุนแผนว่า ““ท่านจะได้เป็นพ่อคนแล้ว ดีใจด้วยนะ”” ขุนแผนได้ฟังก็โห่ร้อง พลางกระโดดโลดเต้น หกหน้าหกหลัง ประดุจเด็กตัวน้อยๆ ที่ได้ของเล่น วิ่งเข้ามากอดท้องของนางวันทอง แล้วหัวเราะร่า ส่วนนางวันทองนั้นเมื่อได้ฟังคำของหมอก็ตะลึงแข็งไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าตนเองจะตั้งครรภ์ เมื่อขุนแผนมากอดครรภ์ของนางนั้น นางก็กอดศรีษะของขุนแผนไว้แน่น แล้วร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ขุนแผนเมื่อเห็นเมียร้องไห้ ก็แปลกใจถามไปว่าทำไมจึงร้องไห้ นางวันทองก็ไม่ตอบ ขุนแผนนึกว่าเมียจะไม่สบายใจ จึงกล่าวปลอบใจนางวันทองไป ทำให้นางวันทองที่เห็นขุนแผนตื่นขนาดนี้ก็หยุดร้องไห้ แล้วกลับมาหัวเราะกับท่าทีของขุนแผนสร้างความงงงวยให้แก่ขุนแผนยิ่งนัก ยามเมื่อทั้งสองเดินทางกลับจากเขตเมืองพิจิตรเพื่อกลับไปยังที่พักของทั้งสองที่ชายป่านั้น ก็ประสบกับกองทัพของทหารจากเมืองพระนครศรีอยุธยา ขุนอินทร์ เป็นผู้นำทัพมา โดยได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระพันวษา ให้มาจับขุนแผนที่ประพฤติตนเป็นกบฏและหลอกลวงเอาเมียเพื่อนมา ตามคำเท็จทูลของขุนช้าง ซึ่งสร้างความพิโรธแก่สมเด็จพระพันวษายิ่งนัก รับสั่งให้จัดกองทัพและแต่งตั้งให้ขุนอินทร์ นายทัพผู้เก่งกล้า ติดตามเอาตัวมาให้ได้ ถ้าไม่ได้ตัว ก็เอาหัวมา ขุนอินทร์นั้นเร่งทัพมาจากกรุงศรีอยุธยา ตามรายทางได้รับความร่วมมือจากบรรดาหัวเมืองทั้งหลาย แจ้งข่าวของขุนแผนและนางวันทอง ทำให้กองทัพได้ติดตามมาจนถึงยังที่นี้ ขุนอินทร์เมื่อเห็นขุนแผน ก็ลงจากหลังม้า แล้วยิ้มเยาะขุนแผนพลางกล่าว ““นี่น่ะหรือ ไอ้กบฏขุนแผน ที่แย่งเมียเพื่อน ช่างหน้าตัวเมียซะนี่กระไร สงสัยพ่อแม่จะไม่ได้สั่งได้สอน บังอาจมากบฏในช่วงที่กูได้เป็นนายทัพ ชะตามึงน่ากลัวจะขาดซะละมั้ง”” ขุนแผนได้ฟังคำของขุนอินทร์ ก็โกรธยิ่งนัก ไม่ตอบคำของขุนอินทร์ ลงจากหลังมาพลางตบสะโพกม้าสีหมอกให้เดินหลบไปข้างๆ ชักดาบฟ้าฟื้นออก ปากก็บริกรรมคาถาสำทับจากด้ามดาบไปจนปลายดาบ ได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าครืนครั่งมาแต่ไกล ดาบฟ้าฟื้นส่องประกายสีเขียวจ้าออกมา ขุนแผนจึงยกดาบฟ้าฟื้นขึ้นพลางกระหวัดฟันอย่างแรง ก่อให้เกิดเสียงเปรี้ยงดุจดั่งฟ้าร้อง ประกายดาบกรีดเป็นรูปวงโค้ง สีเขียวเข้ม วิ่งฝ่าอากาศอย่างรวดเร็ว เข้าหาขุนอินทร์ที่ยืนตะลึงนิ่งอยู่ ประกายวงโค้งสีเขียวนั้น วิ่งผ่านคอของขุนอินทร์ และเลยไปยังกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไปจนกระทบกับต้นไม้ใหญ่ขนาด ๑๐ คนโอบ ล้มดังครืน หัวของขุนอินทร์ และบรรดาทหารที่ยืนด้านหลัง ก็กลิ้งลงจากบ่าโดยพร้อมกัน สร้างความตื่นกลัวแก่บรรดาทหารที่เหลือ พากันวิ่งหนีตายกันอลหม่าน ขุนแผนเก็บดาบฟ้าฟื้นเข้าฝัก แล้วเดินเข้ามาหานางวันทองที่นั่งปากอ้าตาค้างอยู่บนหลังม้าสีหมอก พลางจูงบังเหียนเดินช้าๆ กลับเข้าไปยังที่พักของตนอย่างสงบ ทิ้งซากร่างของขุนอินทร์และทหารที่ตายเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าและบรรดานกกาต่อไป ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ ๑๕ (ทะเลทุกข์ไร้ฟากฝั่ง) จากเหตุการณ์ในวันนั้น สร้างความกริ้วให้แก่สมเด็จพระพันวษาเป็นอย่างยิ่ง รับสั่งอย่างเด็ดขาด ให้ติดตามเอาตัวของขุนแผนมาให้ได้ กระแสรับสั่งได้ส่งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้ดำเนินการควานหาตัวของขุนแผนและนางวันทอง การนี้กลับเป็นการสร้างความลำบากให้แก่ขุนแผนและนางวันทองยิ่งนัก ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง แถบเมืองพิจิตร ขุนแผนและนางวันทองหลบหนีการตามล่าจากทางการ ทั้งต่อสู้และทั้งหลบหลีก จากเมื่องหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่ง จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งตลอดเวลา ลำบากอย่างเหลือแสน ““น้องวันทอง เหนื่อยไหมจ๊ะ?”” ขุนแผนถามวันทองด้วยความเห็นห่วงเป็นใย ““ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะพี่แผน น้องอยู่กับพี่น้องมีความสุขอยู่แล้ว”” วันทองตอบขุนแผน พลางจ้องตาขุนแผน สายตาของวันทองบ่งบอกถึงความรักที่มีให้แก่ขุนแผนอย่างลึกซึ้ง ขุนแผนได้ฟังคำตอบจากเมียรักก็ให้รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก เมื่อมองเห็นภาพเมียรักที่แต่งตัวมอมแมม ด้วยไม่ใคร่จะมีเวลาพักที่แห่งใดนานนัก กอปรกับครรภ์ที่นางวันทองมี ก็เริ่มจะนูนออกมาน้อยๆ ภาพนี้สร้างความปวดร้าวในหัวใจของขุนแผนยิ่งนัก ด้วยสงสารเมียรักกับลูกน้อยที่จะเกิดตามมา จะต้องลำบาก และอนาคตก็คงจะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ขุนแผนสำนึกในใจว่าถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่านี้โดยแลกกับชีวิตของเขา เขาก็คงจะเลือกทางนั้นโดยไม่ลังเล เมื่อคิดถึงตอนนี้ขุนแผนก็ฉุกใจคิดได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ขุนแผนก็นิ่งอึ้งไปอยู่พักหนึ่งจนนางวันทองสงสัย เขย่าตัวเรียก ขุนแผนจึงได้รู้สึกตัว ฝืนยิ้มให้แก่นางวันทอง แล้วลุกขึ้น พลางฉุดให้นางวันทองลุกขึ้น แล้วอุ้มไปวางบนหลังม้าสีหมอก พลางจูงให้เดิน ณ เรือนพักของพระพิจิตร เจ้าเมืองพิจิตร ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาดึกสงัดแล้ว ทุกผู้คนในบ้านกำลังหลับใหลในห้วงนิทรารมย์อย่างสุขสม ก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่ง เดินมาถึงยังหน้าประตูบ้าน แล้ว พนมมือร่ายเวทย์ ปลดล้อกประตูบ้านของพระพิจิตรออก จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องนอนของพระพิจิตร แล้วจึงค่อยปลุกพระพิจิตรขึ้นมา จากนั้นก็นั่งพับเพียบรออยู่บนพื้น ฝ่ายพระพิจิตรเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแปลกใจที่บุรุษหนุ่มที่ปลุกเขาขึ้นมานั่งพนมมือรออยู่บนพื้น แล้วบุรุษหนุ่มนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “กราบเรียนใต้เท้าขอรับ กระผมคือขุนแผนที่กำลังถูกทางการตามล่าอยู่น่ะขอรับ วันนี้กระผมมาที่นี่เพื่อมาขอมอบตัวกับใต้เท้า ด้วยกระผมได้ยินชาวบ้านร้านตลาดเล่าลือกันว่า ใต้เท้าเป็นผู้มีความยุติธรรม และโอบอ้อมอารีมาก กระผมสงสารเมียที่ต้องระหกระเหินเดินทางหลบหนี และตอนนี้เธอก็ตั้งครรภ์ได้นานเดือนแล้ว กระผมเห็นว่าทางการต้องการเพียงตัวของกระผมเท่านั้น จึงได้มามอบตัวขอรับ” พระพิจิตรได้ฟังคำของขุนแผน ก็นิ่งอึ้งไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดยอมเสียสละตนเองเพี่อคนที่ตัวรักได้ จึงได้พยักหน้ารับ และกล่าวว่า ““เอายังงี้ ถ้าเธอจะยอมมอบตัว ฉันก็จะช่วยสู้คดีให้ เพราะคนที่รักลูกรักเมีย คงจะไม่ใช้คนที่เลวร้าย ดังที่ฉันได้รับข่าวลือมา สำหรับลูกเมียเธอ ก็ให้มาฝากไว้ที่บ้านของฉันก่อน ฉันจะช่วยดูแลให้นะ”” ขุนแผนได้ฟังคำของพระพิจิตร ก็ให้รู้สึกตี้นตันใจ ดุจดั่งได้พบคนที่รู้ใจ พบกับคนที่เข้าใจ ความรู้สึกกดดันทั้งหลายตลอดช่วงเวลาที่โดนตามล่าเป็นเวลานาน ก็ทะลักทะลายออกมา เขาถึงกับหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมา น้ำตาของลูกผู้ชายที่ยืนหยัดท้าฟ้าดิน ลูกผู้ชายผู้แข็งแกร่ง ใครว่าลูกผู้ชายหลั่งน้ำตาไม่เป็น เขาจะหลั่งน้ำตาก็ต่อเมื่อมันมีสิ่งที่คู่ควรเท่านั้น พระพิจิตรเห็นดั่งนั้นก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น ด้วยเกรงว่าขุนแผนจะอาย แต่เขาก็นับว่าทำความเข้าใจต่อบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้มากขึ้นอีก เวลาผ่านไปอีกชั่วครู่ พระพิจิตรก็บอกกับขุนแผนให้นำตัวภรรยาของเขา มาอยู่ในการดูแลและบอกให้บ่าวไพร่ลูกขึ้นมาจัดที่หลับที่นอนให้แก่ขุนแผนและนางวันทอง นับจากวันนั้น ขุนแผนก็ถูกส่งตัวเข้าไปสู้คดีในพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจมื่นศรีซึ่งเคยเป็นผู้อบรมทั้งขุนช้างและขุนแผน ก็เป็นผู้ศึกษาคดีนี้และเป็นผู้ที่จะนำเรื่องทูลถวายแก่สมเด็จพระพันวษา ณ ท้องพระโรง ในวันพิพากษาคดี เหล่าบรรดาขุนนางทุกคน และทั้งโจทย์และจำเลย ต่างก็ถูกนำตัวเข้ารับฟังคำตัดสินของพระมหากษัตรีย์ ซึ่งบัดนี้ได้เวลา สมเด็จพระพันวษา ก็เสด็จออก ณ ห้องท้องพระโรง ซึ่งวันนี้ได้ทรงฉลองพระองค์อย่างเต็มยศ งดงามดุจดั่งเทพเทวานั่นเลยทีเดียว ทางเสด็จขึ้นประทับยังแท่นพระที่นั่ง จากนั้นจมื่นศรีได้คลานออกมากราบบังคับ แล้วเริ่มทูล ““ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเรื่องราวทั้งหมด ตามที่ได้สืบเสาะมาด้วยความเป็นจริงพระเจ้าข้า”” ““เออ ไอ้จมื่นศรี เอ็งว่ามา เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ข้าจะได้ตัดสินให้ ถ้าใครมันผิด ข้าไม่เอามันไว้แน่”” สมเด็จพระพันวษาตรัสด้วยพระสุรเสียงเหี้ยมเกรียม ทำให้ขุนช้างที่นั่งรอฟังคำพิพากษาถึงแก่ตัวสั่น จนขุนนางที่นั่งด้านข้างต้องหันมามองว่าสั่นทำไม จมื่นศรี กราบอีกครั้งแล้วเริ่มรายงาน ““พระเจ้าข้า เรื่องทั้งหมดเริ่มมาจากขุนแผนซึ่งจำเดิมได้แต่งงานกับนางพิมพิลาไลยหรือนางได้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง แต่ได้รับพระบรมราชโองการให้ไปรบกับเมืองเชียงทองซึ่งเป็นกบฏ แต่ขุนช้างซึ่งได้หลงรักนางวันทองได้ทำอุบายจนได้นางวันทองเป็นภริยา ขุนแผนซึ่งจำเดิมเป็นสามีได้รับความอยุติธรรม จึงได้มาช่วงชิงตัวภริยาของตนคืน ขุนช้างจึงได้มากราบทูลต่อพระองค์พระเจ้าข้า”” สมเด็จพระพันวษาได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็เข้าใจได้โดยทันทีว่า พระองค์ตกเป็นเครื่องมือล้างแค้นของไอ้ขุนช้างเสียแล้ว เมื่อทรงได้รู้เช่นนั้นก็กริ้วเสียจนหน้าแดงก่ำ ลุกขึ้นยืนกระทืบพระบาท ชี้หน้าขุนช้างพลางรับสั่งด้วยพระสุรเสียงดังปานเสียงฟ้าผ่า ““ไอ้ขุนช้าง มึงกล้าจริงๆ นะ มึงเก่งจริงๆ เอากูมาเป็นเครื่องมือล้างแค้นไอ้ขุนแผน มึงเห็นกูโง่นักใช่ไหม ทหารจับเอาไอ้ขุนช้างไปตัดหัวเดี๋ยวนี้”” ขุนช้างได้ฟังรับสั่งของสมเด็จพระพันวษา ก็พูดไม่ออก ตัวสั่นระริกหน้าขาวซีด เมื่อเห็นทหารมาเพื่อจะลากตัวเอาไปตัดหัว ก็ร้องครางออกมาด้วยความกลัว พื้นบริเวณนั้นเปียกเป็นหย่อมใหญ่ เหล่าขุนนางพากันถอยหนีด้วยความเกลียดชังความประพฤติของขุนช้าง ขุนแผนนั้นมิได้จองเวรกับขุนช้างที่เคยเป็นเพื่อนรักมาก่อน เมื่อเห็นเพื่อนจะโดนโทษตัดหัว ก็รู้สึกสงสารยิ่งนัก จึงรีบกราบทูลต่อสมเด็จพระพันวษา ขอชีวิตให้แก่ขุนช้าง สมเด็จพระพันวษาเห็นขุนแผนไม่โกรธต่อความเลวของขุนช้าง แล้วยังมาขอพระราชทานอภัยโทษ ก็ยิ่งรักและสงสารขุนแผนเป็นกำลัง จึงได้ประทานอภัยโทษตัดหัวให้แก่ขุนช้าง แต่การกระทำผิดยังไงก็ต้องลงโทษ จึงให้ปรับไหมเป็นเงิน ๑๐๐ ชั่งแทน ขุนช้างแสนจะดีใจ กราบขอบพระท้ยประหลกๆ ขุนแผนเมื่อรอดจากโทษทั้งมวล จึงได้ไปรับนางวันทองมาจากบ้านของพระพิจิตร และระหว่างทางกลับก็ได้เดินทางไปหาแก้วกิริยาที่ปัจจุบันตั้งร้านขายผ้าอยู่แถวๆ เมืองสุพรรบุรีนั่นเอง แก้วกิริยาแสนจะดีใจ เมื่อเห็นขุนแผนเดินทางมารับ ร้องไห้โฮออกมากลางร้าน สร้างความแปลกใจแก่ผู้ที่มาซื้อของยิ่งนัก แต่สร้างความตื้นตันใจให้แก่ขุนแผนและนางวันทองเป็นยิ่งนัก กับความรักหนักแน่นที่แก้วกิริยามีให้แก่ขุนแผน หลังจากนั้น ทั้ง ๓ คนผัวเมียจึงเดินทางขึ้นมาพระนครศรีอยุธยาโดยมาพักอยู่กับจมื่นศรี คืนนั้นขณะที่ขุนแผนกำลังหลับพักผ่อน ก็รู้สึกว่ากางเกงของตนถูกดึงลง ควยอาคมถูกมือใครบางคนลูบไล้เบาๆ สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่าถูกบางอย่างที่อบอุ่นดูดกลืนเข้าไป ขุนแผนจึงผงกศรีษะขึ้นมามอง เห็นแก้วกิริยากำลังดูดอมควยอาคมเข้าออกในปากจนเปียกน้ำลายเป็นมันแผล็บ สองมือนั้นก็ถอกควยอาคมไปมา สร้างความเสียวซ่านแก่ขุนแผนจนสูดปากออกมาเบาๆ ด้วยความเสียวซ่าน แก้วกิริยาดูดควยอาคมจนแก้มตอบ สองมือก็ทำงานไม่ว่างมือหนึ่งถอกควยอาคมไปมา อีกมือหนึ่งก็คลึงที่พวงไข่ของขุนแผนไปมา ขุนแผนทนแทบจะไม่ไหวกับลีลาดูดของแก้วกิริยา จึงประคองศรีษะของแก้วกิริยาขึ้นมา พลางยกมือปลดผ้าแถบของแก้วกิริยาออก เต้านมของแก้วกิริยาก็เด้งกระเพื่อมออกมาสะเทือนน้อยๆ ตามแรงหอบหายใจของเจ้าของ นมของแก้วกิริยาที่เคยเป็นกระเปาะ บัดนี้มันได้อวบเต่งเป็นเต้างอนช้อยสวยงาม ชูยอดสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังแข็งเต่งเป็นไต น่าดูดยิ่งนัก ขุนแผนกำลังจะก้มลงดูดที่ปลายยอด กลับมีมือยื่นเข้ามาบีบเคล้นแทน นางวันทองนั่นเอง ยื่นมาออกมาคลึงเคล้าเต้านมของแก้วกิริยาจากด้านหลัง สร้างความประหลาดใจให้แก่ขุนแผน นางวันทองตื่นมากลางดึกแล้วเห็นแก้วกิริยากำลังดูดอมควยอาคมให้แก่ขุนแผน ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นไม่สามารถให้ความสุขแก่สามีได้ จึงได้ไปช่วยแก้วกิริยาเพื่อให้แก้วกิริยามีความสุขไปด้วย นางจึงเข้ามาร่วมด้วย แก้วกิริยาก็ประหลาดใจเช่นกัน ด้วยขุนแผนผัวรักมือยังอยู่ครบ งั้นนี่มือใคร เมื่อหันหน้ามามองก็เห็นเป็นนางวันทองก็แปลกใจ แต่แล้วก็เข้าใจเมื่อนางวันทองเอนตัวเข้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู แก้วกิริยาจึงปลดผ้านุ่งออก เผยให้เห็นสะโพกผายงาม เนินนูนที่งดงาม หญ้าที่ขึ้นสวยงามเป็นระเบียบ และปากทางเข้าที่ปิดสนิทดุจดั่งไม่เคยมีใครเคยผ่านมันเข้ามาเลย ขุนแผนเมื่อเห็นแก้วกิริยาถอดผ้านุ่ง ตนเองก็รีบถอดกางเกงออก จากนั้นก็ดึงร่างของแก้วกิริยามานั่งหันหน้ามาทางเดียวกันตน ส่วนนางวันทองนั้นก็จับเอาควยอาคมของขุนแผนจ่อกับช่องทางสวรรค์ของแก้วกิริยา อีกมือหนึ่งก็บดบี้กับเม็ดแตดเม็ดเล็กๆที่ซ่อนอยู่ด้านบนของร่องหีของแก้วกิริยา เร่งให้น้ำเสียวไหลหลั่งออกมาจนชโลมหัวควยอาคมเป็นมัน ขุนแผนนั้นเมื่อเห็นเมียรักช่วยกัน ก็ปลาบปลืมใจยิ่งนัก กระเด้าควยอาคมค่อยให้หัวควยอาคมค่อยเกลือกกับร่องหีของแก้วกิริยาจนหัวควยเปี่ยกโชกไปด้วยน้ำเงี่ยนที่แก้วกิริยาขับออกมา นางวันทองก็ย้ายขึ้นมาดูดยอดเต้างอนช้อยของแก้วกิริยาอีกมือก็คลึงเคล้าเต้านมอีกข้าง พลางใช้นิ้วมือบีบบี้หัวนมของแก้วกิริยาจนแก้วกิริยาขนลุกจนเห็นได้ชัด ขุนแผนเห็นแก้วกิริยามีอาการส่ายตูดส่ายหี วนส่วนกับควยอาคม แถมบางครั้งยังพยายามดันหีเพื่อกดให้ควยอาคมเข้าไปในร่องหีลึกๆ ก็รู้ว่าแก้วกิริยาพร้อมแล้ว เมื่อแก้วกิริยากดหีลงมาอีก ขุนแผนก็กระเด้าควยอาคมสวนขึนไปในทันทีจนควยอาคมฝังผ่านแคมหีของแก้วกิริยาเข้าไปฝังอยู่ในร่องหีอันคับแน่น แถมมีอาการตอดตุบๆ ของแก้วกิริยากว่าครึ่ง แก้วกิริยาถึงกับร้องอี๋ด้วยความเสียวแปลบที่เข้ามาในร่องหี แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งควยอาคม ทำให้แก้วกิริยามีแต่ความเสียวซ่านหาได้เจ็บปวดจากการโดนแหวกหีแบบเต็มๆ อย่างนี้ ขุนแผนนั้นชักควยอาคมออกจนเกือบถึงเงี่ยงหยัก แล้วกระเด้าผับเข้าไปจนควยอาคมเข้าไปจนสุด หัวควยอาคมกระทบกับมดลูกข้างในดังกึก แก้วกิริยานั้นตัวอ่อนระทวยไปนานแล้ว ด้วยโดนโจมตีทั้งบนและล่าง กระตุกเกร็งสุดตัวเมื่อหัวควยอาคมมุดเข้าไปลึกจนชนกับมดลูก ถึงจุดสุดยอดตัวสั่นระริก ขุนแผนเห็นแก้วกิริยาถึงจุดอย่างง่ายดายก็อมยิ้ม พลางดึงร่างของแก้วกิริยายืนขึ้น แล้วให้ไปยืนเกาะกับขอบหน้าต่าง พลางยืนขึ้นจ่อหัวควยอาคมที่เปียกมะล่องมะแล่ก เข้ากับร่องหีที่เบียดออกมาด้านหลังเป็นพูของแก้วกิริยา จ่อเข้ากับช่องทางสวรรค์ที่เปียกเยิ้มจนหยดไหลลงมาตามขาเป็นทาง เมื่อจ่อตรงแล้วก็กดพรวดเข้าไปทีเดียวหมด แก้วกิริยาถึงกับสะดุ้งเฮือกสูดปากดังลั่น นางวันทองนั้นก็ไม่ได้อยู่เฉย เข้ามาเอาปากเลียร่องกลีบหีของแก้วกิริยาที่ถูกควยอาคมบดบี้จนยู่ไปมา พลางใช้มือลูบไล้พวงไข่ของขุนแผนไปมา แก้วกิริยาถูกโจมตีหลายทางก็เข่าอ่อนทำท่าจะทรุดลงนั่ง แต่ขุนแผนจับเอวคอดกิ่วไว้แน่น พลางดึงกระแทกอย่างแรงเสียงดัง พั่บๆ แต่ละครั้งที่ดึงเอวแก้วกิริยาเข้ามา ขุนแผนก็กระแทกส่วนไปทุกครั้ง จนพวงไข่กระแทกปากร่องหีทุกครั้ง ขุนแผนนั้นอดอยากปากแห้งมานาน เมื่อกระแทกท่านี้จนหนำใจแล้วยังไม่เสร็จ จึงให้แก้วกิริยานอนหงาย ตนเองก็นั่งลงคุกเข่า พลางใช้แขนช้อนขาของแก้วกิริยาขึ้นมา วันทองรู้งานก็จับควยอาคมของขุนแผนจ่อกับร่องหีที่เผยออ้าออกน้อยๆ ของแก้วกิริยา ขุนแผนก็กดกระแทกควยอาคมเข้าไปเต็มที่ตามอารมณ์เงี่ยนที่เก็บกดมานาน และเมื่อได้ร่วมรักกับแก้วกิริยาจะต้องเกิดอาการซาดิสขึ้นมาทันใดอย่างไร้สาเหตุ กดกระแทกอย่างไม่ออมแรง ท่านี้ทำให้หัวควยของขุนแผนมุดเข้าไปจนชนกับมดลูกของแก้วกิริยาเต็มที่ทุกครั้ง ขุนแผนนั้นทั้งซอยสั้น ซอยยาว แถมยังมีคว้านไปมาจนแก้วกิริยานั้นเกร็งกระตุก เกร็งแล้วก็กระตุก ไป ๓-๔ ครั้ง ขุนแผนจึงได้ถึงจุด กระแทกป้าบ ป้าบ อีก ๕-๖ ทีก็ล้มนอนกอดร่างแก้วกิริยา หัวควยก็พ่นน้ำควยขาวข้นไปราดรดมดลูกของแก้วกิริยา ไม่ขาดสาย ทำให้แก้วกิริยาต้องถึงจุดสุดยอดตามไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จกิจ ทั้ง ๓ คนผัวเมียก็กอดกันนอนหลับอย่างมีความสุข วันหนึ่งขุนแผนนั้นเกิดจำได้ว่า ลาวทองคนที่เคยติดตามจากแคว้นจอมทอง เมื่อครั้งไปตีเมืองเชียงทองยังถูกคุมขังเป็นม่ายหลวงในวัง จึงได้ปรึกษากับวันทองและแก้วกิริยา ซึ่งทั้งสองนางก็เห็นด้วยว่าควรให้ขุนแผนกราบทูลของสมเด็จพระพันวษาเพื่ออภัยโทษให้แก่ลาวทอง จักได้มาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ขุนแผนเมื่อเห็นภรรยาทั้งสองเห็นด้วยจึงได้เข้าวังไปเพื่อกราบทูลขออภัยโทษจากสมเด็จพระพันวษา แต่ด้วยคราเคราะห์ที่ครอบครัวจะต้องแตกแยกจากกัน สมเด็จพระพันวษามิเพียงไม่อภัยโทษ แต่กลับทรงกริ้วที่ขุนแผนได้คืบจะเอาศอก สั่งขังขุนแผนในคุกหลวงอย่างไม่มีกำหนดไปซะอีก สร้างความตกใจแก่สองสาวอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หวานมันฉันคือ... ภาค 2

ก่อนที่จะจรดปลายนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ด ผมชั่งใจอยู่นาน เพราะเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ถ้าบอกใครไปเค้าก็ต้องหาว่าผมบ้า หรือไม่ก็เมา แต่เอาเ...